วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หน้าปก

           ประเพณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ               


เสนอ


อาจารย์    ศุภสัณห์   แก้วสำราญ


จัดทำโดย


นาย กิตติพงษ์  ชุ่มเชื้อ


ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/5 เลขที่ 3


รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการสืบค้น


ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต


ภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา 2557

โรงเรียนเมืองกระบี่

ประเพณีทอดกฐิน

ประเพณีทอดกฐิน

ประเพณีทอดกฐินจะทำในช่วงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน เกี๋ยงเหนือหรือเดือนตุลาคม ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่เหนือ หรือเดือนพฤศจิกายน สมัยโบราณชาวล้านนาไม่นิยมทอดกฐินเนื่องจากว่าจะต้องใช้ปัจจัย (เงิน) ค่อนข้างมาก ผู้ที่จะถวายกฐินได้จะต้องมีฐานะดีและมีความตั้งใจจริง

เมื่อผู้ใดมีความประสงค์จะถวายกฐิน จะต้องจองกฐินที่วัด และบอกแก่ชาวบ้านให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อถึงวันทอดกฐินก็จะมีการแห่กฐินมาทอดที่วัด และในบางวัดจะมีมหรสพในตอนกลางคืนด้วย

ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง

ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง

ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งเป็นงานบุญของชาวอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดสกลนคร ปฏิบัติกันในช่วงออกพรรษา ระหว่างวันขึ้น ๑๒-๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑
มูลเหตุของการทำปราสาทผึ้ง สืบเนื่องมาจากครั้งสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จจำพรรษาบนสวรรค์ ครั้นถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับยังโลกมนุษย์ พระอินทร์จึงนิรมิตบันได ๓ ชนิดขึ้นมา คือ
๑. บันได้แก้วมณี สำหรับพระพุทธเจ้าเสด็จลง
๒. บันไดทองคำ สำหรับเทวดาเสด็จลง
๓. บันไดเงิน สำหรับมหาพรหมเสด็จลง

ซึ่งหัวบันไดนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาสีเนรุนาทบนสวรรค์ ส่วนเชิงบันไดตั้งอยู่ ณ เมืองสังกัสสะบนโลกมนุษย์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จลงนั้นพระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์เปิดพรหมโลก ซึ่งอยู่เบื้องบน และเปิดโลกมนุษย์ซึ่งอยู่เบื้องล่าง ทำให้ทั้งพรหมโลก สวรรค์ และโลกมนุษย์ สามารถมองเห็นพระองค์ได้หมด ทำให้พวกเทวดา มนุษย์ นาค สัตว์ต่างๆ เกิดความเลื่อมใสและชื่นชมในพระบารมีแห่งพระพุทธองค์ และด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้พวกเทวดา มนุษย์ และสัตว์โลกต่างๆ ได้เห็นปราสาทอันสวยงาม และอยากที่จะไปอยู่บ้าง ทำให้พวกที่ได้เห็นเกิดความรู้แน่ชัดว่า การที่จะได้อยู่ในปราสาทอันสวยงามนั้นต้องกระทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล และต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ในหลักธรรม และสร้างปราสาทกองบุญไว้ในโลกมนุษย์เสียก่อน ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างปราสาทและเกิดประเพณีไทยแห่ปราสาทผึ้งขึ้นมา

ประเพณีบุญผะเหวด จังหวัดร้อยเอ็ด

ประเพณีบุญผะเหวด จังหวัดร้อยเอ็ด
   “ประเพณีบุญผะเหวด  หรืองานบุญเดือนสี่  ภาพจำลองเรื่องราวมหาชาติชาดก  ครั้งที่พระเวสสันดรกลับเข้าเมือง  ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา  ของขบวนแห่ทั้ง ๑๓ กัณฑ์  ฟังเทศน์มหาชาติ  แห่กัณฑ์จอบ  กัณฑ์หลอน  แห่ข้าวพันก้อน  เทศน์สังกาด  บุญใหญ่ที่สร้างความสุขสนุกสนานแก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วกัน
จังหวัดร้อยเอ็ด  ได้เริ่มฟื้นฟูงานประเพณีบุญผะเหวดขึ้นมาในปี พ.ศ.๒๕๓๔  ซึ่งได้มีการกำหนดจัดงานในวันเสาร์และวันอาทิตย์แรกของเดือนมีนาคม ณ บึงผลาญชัย  และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์  เริ่มตันวันศุกร์ด้วยการแห่พระอุปคุต  วันเสาร์  ขบวนแห่ ๑๓ กัณฑ์  และวันอาทิตย์  ฟังเทศน์มหาชาติและแห่กัณฑ์จอบ  กัณฑ์หลอน  ขบวนต่างๆ ล้านเกิดจากความร่วมใจของชาวบ้าน  ที่แสดงออกถึงจตุปัจจัยที่ร่วมกัน  ถวายแด่พระที่กำลังเทศน์อยู่ในขณะนั้น  และเจาะจงถวายแด่พระที่ศรัทธาซึ่งเทศน์ในวันนั้น

เข้าสู่งานประเพณี  ชาวร้อยเอ็ดจะอัญเชิญพระอุปคุตแห่รอบเมือง  เพื่อปกป้องคุ้มครองมิให้เกิดภัยพิบัติและให้ทำมาค้าขึ้น  จากนั้นเริ่มพิธี มหามงคลพุทธมนต์  พระอุปคุตเสริมบารมี”  เข้าสู่วันที่สอง  ช่วงเช้าแจกสัตสดกมหาทาน  บริจาคสิ่งของแด่ผู้ยากไร้  ตามด้วยไฮไลท์ของงานคือ  ขบวนแห่ตำนานพระเวสสันดร ๑๓ กัณฑ์  ภาพขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมืองที่สมจริง  งดงามด้วยสีสันและท่วงท่าการร่ายรำ  พระเวสสันดรทรงช้างมาพร้อมด้วยพระนางมัทรี  ห้อมล้อมด้วยเหล่าทหารที่ยิ่งใหญ่

ประเพณีข้าวสาก

ประเพณีข้าวสาก
 งานบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัต) คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุสลไปให้กับเปรต ซึ่งงานบุญข้าวสากกับงานบุญข้าวประดับดินในเดือน ๙ จะมีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตและผู้ล่วงลับไปแล้ว
มูลเหตุของการเกิดงานบุญข้าวสาก สืบเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับมารดา ส่วนบิดาเสียชีวิตแล้ว เมื่อถึงวัยที่ต้องแต่งงาน มารดาจึงหาผู้หญิงมาให้ชายหนุ่มจึงแต่งงานกับหญิงสาวผู้นั้น แต่อยู่กันมานานก้ไม่มีบุตรสักที มารดาจึงหาภารยาให้ใหม่ พออยู่กินมาไม่นานภารยาน้อยก็ตั้งครรภ์ ภารยาหลวงเกิดอิจฉาจึงคิดวางแผนบอกกับภรรนาน้อยว่าถ้าตั้งครรภ์ภรรยาน้อยต้องบอกนางเป็นคนแรก

เมื่อภรรยาน้อยตั้งครรภ์ นางจึงบอกกับภรรยาหลวง ภรรยาหลวงจึงนำยาที่ทำให้แท้งให้ภรรยาน้อยกิน พอภรรยาน้อยตั้งครรภ์ครั้งที่สองภรรยาหลวงก็นำยาแท้งให้กินอีกพอครั้งที่สามภรรยาน้อยไม่บอกภรรยาหลวงแต่หนีไปอาศัยอยู่กับญาติ ภรรยาหลวงจึงตามไปแล้วให้ยากินอีก แต่คราวนี้ไม่แท้งเพราะครรภ์แก่แล้ว แต่ลูกในท้องนอนขวางทำให้บีบหัวใจจนตาย ก่อนที่ภรรยาน้อยจะตายนางได้จองเวรกับภรรยาหลวงว่า ชาติหน้าของให้นางได้เกิดเป็นยักษิณีและให้ได้กินภรรยาหลวงและลูกของภรรยาหลวง

เทศกาลดอกลำดวน สืบสานประเพณี สี่เผ่าไท จังหวัดศรีสะเกษ

เทศกาลดอกลำดวน สืบสานประเพณี สี่เผ่าไท จังหวัดศรีสะเกษ
ร่วมเรียนรู้  เข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอีสานใต้  ประเพณีสี่เผ่าไทศรีสะเกษและเทศกาลดอกลำดวน  สัมผัสเอกลักษณ์ของแต่ละชนเผ่า  ส่วย  ลาว  เยอ  และเขมร  วิถีชีวิต  ความเชื่อ  การแต่งกาย  ภายใต้ทิวไม้ที่สะพรั่งด้วยดอกลำดวนบานเต็มสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์
จากความร่วมมือของจังหวัดศรีสะเกษ  มูลนิธิสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ  ได้ทำให้งานเทศกาลดอกลำดวนบาน  สืบสานประเพณีสี่เผ่าไท  เป็นรูปเป็นร่างขึ้น  โดยใช้สถานที่บริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ในบริเวณวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ  เป็นสถานที่จัดงาน  ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
บรรยากาศภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ  ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมสร้างความร่มรื่น  และเย็นใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน  ท่ามกลางใบไม้เขียวประดับด้วยดอกลำดวนหน้าตาคล้ายกับขนมกลีบลำดวนที่เราคุ้นเคย  ยามเย็นสายลมอ่อนพัดพากลิ่นดอกลำดวนหอมแบบไทยๆ  ชวนนึกย้อนสู่วันวาน  นั่งชมการแสดงทางวัฒนธรรม  วิถีชีวิตของชนเผ่าไทศรีสะเกษ  ส่วย  เขมร  ลาว  เยอ  ความหลากหลายกลายเป็นเสน่ห์ของผู้คนชาวอีสานใต้  ที่สามารถถ่ายทอดสู่สายตาทุกคู่ได้อย่างลึกซึ้ง

พร้อมด้วยกิจกรรมร่วมสมัย  ไล่เรียงจากการแสดงภาพเขียน  งานศิลปะของศิลปินระดับชาติและท้องถิ่น  การแสดงศิลปะพื้นบ้าน  กิจกรรมลานธรรม  สักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุและรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดศรีสะเกษ  และกิจกรรมเชิดชูผู้สูงอายุ  ให้สมกับที่ดอกลำดวนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุนั่นเอง

งานประเพณีตีช้างน้ำนอง มุกดาหาร

งานประเพณีตีช้างน้ำนอง มุกดาหาร
สายน้ำโขงสีขุ่นที่ไหลเรื่อย ช่วงเริ่มต้นแห่งฤดูฝน ระดับสูงขึ้นใกล้เต็มตะลิ่ง ใกล้เวลาที่ชาวบ้านสองฝั่งโขงจะมาร่วมใจ ลงแรก ช่วยลุ้น ผลัดกันส่งเสียงร้องให้กำลังใจเหล่าฝีมืพายจากที่ต่างๆ ที่มาพร้อมกันเพื่อช่วยชิงชัยจ้าวแห่งสายน้ำ ณ เมืองมุกดาหาร ซึ้งมีเอกลักษณ์ของพิธีการ ไม่เหมือนใครจนกลายเป็นประเพณีของไทยที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาทุกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขัน คือ ประเพณีการตีช้างน้ำนอง ในการแข่งขันประเพณีออกพรรษาไทย-ลาว (มุกดาหาร-สะหวั่นนะเขต)
เริ่มต้นเอาฤกษ์เอาชัย ขบวนเรือที่เข้าแข่งขันต่างมารวมตัวพร้อมกัน ณ ท่าน้ำ ขบวนเรือพายเรือล่องตามลำน้ำโขง ทุกฝีพายต่างโห่ร้อง ตกลอง เคาะเกราะ เกิดเป็นจังหวะที่ขึงขัง เพื่อประกอบพิธีสักการะพระแม่คงคา เทวดา พญานาค บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองทั้งทางบกและทางน้ำ
จากช่วงจังหวะที่ไม้พายจ้วงลงในพื้นน้ำ เมื่อยกขึ้น สายน้ำก็สาดกระเซ็นเกิดเป็นละออง ราวกลับโขลงใหญ่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน และเกิดระลอกคลื่นซัดเข้ากระทบฝั่งอย่างต่อเนื่อง จนมีเสียงดังจนคล้ายเสียงช้างร้อง ด้วยเหตุนี้คนโบราณจึงเรียกพิธีนี้ว่า พิธีตีช้างน้ำนองเรื่อยมา

เข้าถึงช่วงการแข่งขัน เรือแห่งอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยพิธีอัญเชิญถ้วยพระราชทานเครื่องเกียรติยศนำหน้าขวบน คลอเคล้าด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่าฝีพายที่ดังสนั่นก้องท้องลำน้ำโขง นับเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สายตาทุกคู่ถูกมนต์สะกดให้จับจองอยู่ที่พิธีกรรมที่เกิดจากความร่วมใจของขาวมุกดาหาร ที่ยังคงสานต่องานประเพณีไทยอันทรงคุณค่านี้สืบไป

ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร

ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร

 
นิทานพื้นบ้านเล่าสืบต่อกันมา  ผาแดงนางไอ่  พระยาคันคาก  ล้วนกล่าวถึงการจุดบั้งไฟถวายแด่พญาแถน  เพื่อเป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล  หลาบสิบปีได้สืบทอดงานประเพณีบุญบั้งไฟ  ความสวยงามของการตกแต่งขบวนที่ยิ่งใหญ่  ควันสีขาวพุ่งทะยานไปตามบั้งไฟแสนที่ขึ้นสู่ท้องฟ้า  ตามมาด้วยเสียงดังสนั่น  และเสียงลุ้นของผู้คน  สุดเร้าได้ทุกครั้งไป
เมื่อถึงเดือน ๖ ชาวอีสานจะมีการจัดงานประเพณีที่สำคัญ  หนึ่งในฮีตสิบสอง  จากความเชื่อในการบูชาพญาแถนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล  พร้อมเข้าสู่การทำนาครั้งใหม่  และกล่าวกันว่าหากหมู่บ้านใด  ชุมชนไหน  มิได้จัดงานประเพณีนี้ขึ้นในปีนั้นๆ  ฝนก็จะไม่ตก  พื้นดินก็จะแห้งแล้งไม่สามารถทำการเพาะปลูกใดๆ ได้

เมื่อถึงวันงาน  ก่อนการประกวดประชันบั้งไฟประเภทต่างๆ  จะมีขบวนแห่บั้งไฟตกแต่งด้วยสีสันที่สวยงาม  ตามมาด้วยเสียงดนตรีบรรเลงให้จังหวะในการเซิ้งบั้งไฟ  เซิ้งกระติบ  ฟ้อนขาลาย  ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสาน  และอีกหนึ่งสีสัน  คือ  ขบวนแห่การแต่งกายล้อเลียนบุคคล  ผู้ชายบางคนสวมใส่ชุดหญิงสาวออกอากัปกิริยาอ่อนช้อย  สร้างเสียงหัวเราะ  และความสนุกสนานให้ผู้พบเห็น

ประเพณีแห่นางแมว

ประเพณีแห่นางแมว
เมื่อให้นึกถึงประเพณีที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีมาช้านานและเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศคงเป็นประเพณีอื่นไปไม่ได้นอกจากประเพณีแห่นางแมว ที่นิยมจัดขึ้นในปีที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูการหรือฝนแล้ง เพื่ออ้อนวอนขอให้ฝนตกลงมาสร้างความชุ่มชื่นแก่แผ่นดินและพื้นที่ทำสวนทำไร่ของทุกคน
ประวัติความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแห่นางแมว
          เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม การทำเลือกสวนนาไร่จำเป็นต้องอาศัยน้ำจำนวนมาก ดังนั้นหากวันหนึ่งฝนที่เคยตกต้องตามฤดูกาลไม่ตกเช่นเคยย่อมสร้างความเดือนร้อนให้กับชาวนาชาวไร่ทั่วไป เพราะฉะนั้นเพื่อให้ฝนตกลงมาจะได้มีน้ำเพียงพอในการทำการเกษตรกรรมจึงต้องทำพิธี แห่นางแมวขึ้น
สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแห่นางแมวนั้น คนไทยมีความเชื่อว่าฝนตกลงมาเพราะเทวดา เมื่อฝนไม่ตกจึงต้องทำพิธีขอฝนกับเทวดา แต่บางความเชื่อกล่าวว่าเมื่อแผ่นดินแห้งแล้ง สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ มีควันและละอองเขม่าควันจะต้องขอน้ำจากเทวดามาช่วยล้างเพราะน้ำฝนเป็นน้ำของเทวดา เนื่องจาก เทโว แปลว่า ฝน นั่นเอง
ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับแมวนั้น คนไทยเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับ ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนำมาทำพิธีแล้วจะช่วยเรียกฝนให้ตกลงมาได้ หรือถ้าเป็นความเชื่อของชาวอีสานจะมีความเชื่อว่าเมื่อฝนไม่ตกให้ใช้สัตว์ที่มีสีเดียวกับเมฆเรียกฝน จะทำให้ฝนตกลงมาได้เช่นกันและสัตว์ประเภทเดียวที่มีสีเมฆคือแมวสีสวาท

การทำพิธีแห่นางแมว
          ช่วงเวลาในการทำพิธีแห่นางแมวนั้นจะจัดขึ้นเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลและมีความแห้งแล้งมากจริง ๆ ซึ่งการทำพิธีนั้นต้องมีขบวนแห่ ผู้หญิงที่เข้าร่วมพิธีแห่ต้องผัดหน้าขาว ทัดดอกไม้ดอกโต ๆ ร่วมกันร้องรำทำเพลงที่สนุกสนานเฮฮา
สิ่งที่ต้องมีในพิธีแห่นางแมว
1. แมวสีสวาทหรือแมวสีดำ
2. กระบุง กะทอหรือเข่งที่มีฝาปิด
3. ดอกไม้ 5 คู่
4. เทียน 5 คู่
5. ไม้สำหรับหาม
วิธีการแห่นางแมว
          การแห่นางแมวนั้นจะให้คนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน แต่งตัวสวยงาม เมื่อได้เวลาพลบค่ำก็เริ่มขบวนแห่ โดยก่อนการแห่ต้องให้ผู้เฒ่าพูดกับแมวขณะเอาลงกะทอว่า นางแมวเอย ขอฟ้าขอฝน ให้ตกลงมาด้วยนะ จากนั้นจึงเดินขบวนไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อให้เจ้าของบ้านทุกบ้านสาดน้ำให้แมวร้อง เพราะเมื่อแมวร้องแล้วฝนจะตกลงมา

ในขณะเดินแห่นั้นต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวคำเซิ้งไปด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วคำเซิ้งของแต่ละพื้นที่มักไม่ค่อยเหมือนกัน แต่สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่าต้องการขอให้ฝนตกนั่นเอง